วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บิ๊กอาย


บิ๊กอาย


บิ๊กอาย


บิ๊กอาย อันตราย!

         อันตรายบิ๊กอาย ! ทำพิษจนวัยรุ่นแห่กันเข้ารับการรักษาตา เนื่องจากติดเชื้อ บางรายเป็นแผลที่กระจกตาในตาดำ แพทย์ชี้เป็นเชื้อโชคที่กินทะลุกระจกตาได้ภายใน 2 วัน ต้องควักตาออก ก่อนจะลามเข้าสู่ร่างกาย 

         เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา น.พ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข  กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เมื่อประมาณใน  1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีผู้ป่วย 4 ราย เข้ารับการรักษาตา เนื่องจากเกิดอาการตาอักเสบ เป็นลักษณะ ตาบวม และภายในนัยน์ตาเป็นสีแดง มีขี้ตาออกมาเป็นสีเขียว มีอาการปวดตลอดเวลา โดยผู้ป่วยดังกล่าวเป็นวัยรุ่นอายุไม่ถึง 20 ปี และอายุน้อยที่สุด 14 ปี
 
         จากการตรวจพบว่า เมื่อส่องกล้องเข้าไปในดวงตาจะพบรอยขาวขุ่นอยู่ในตาดำ ลักษณะดังกล่าวเกิดจากกระจกตาดำเป็นแผล หรือ ตาติดเชื่อแบคทีเรียนสูโดโมแนส แอรูจิโนซ่า ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่จะกัดกินทะลุกระจกตาดำภายใน 2 วัน ถ้าหากรักษาไม่หายอาจจะส่งผลให้ตาบอด อาจจะต้องควักลูกตาออกเพื่อป้องกันการลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ  เพราะเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว สามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ ทั้งนี้ วิธีการรักษาคือ ต้องให้ยาฆ่าเชื้อชนิดแรงทั้งแบบฉีดและหยอดตา และระยะใช้เวลารักษานานถึงจะหายเป็นปกติ

          พร้อมกันนี้ จากการสอบสวนผู้ป่วยทั้ง 4 ราย พบว่า ผู้ป่วยใส่คอนแทคเลนส์ชนิด บิ๊กอาย ซึ่งเป็นเลนส์ชนิดพิเศษ มีลักษณะความกว้างของนัยน์ตาสีดำ ใหญ่กว่า นัยน์ตาปกติ โดยซื้อจากร้านแผงลอย ตลาดนัด หรือสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต เป็นคอนแทคเลนส์ใส่รายปี ในราคาคู่ละ 300บาท ซึ่งตอนนี้คอนแทคเลนส์ชนิดดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในวัยรุ่น และคนทำงาน

          ทั้งนี้ น.พ.ฐาปนวงศ์  ยังกล่าวอีกว่า คอนแทคเลนส์ ชนิดบิ๊กอาย เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนถึงจะนำเเข้าหรือจำหน่ายได้ ทั้งนี้ก็ต้องขอความร่วมมือผู้เกี่ยวข้องให้ติดตามว่าร้านค้าทั่วไปที่จำหน่ายคอนแทคเลนส์ ได้รับอนุญาติจาก อย. หรือไม่ และในส่วนของนักเรียนอยากให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกกฎระเบียบและเตือนนักเรียนในเรื่องของการใส่คอนแทคเลนส์ชนิดบิ๊กอาย ว่า ควรเป็นคอนแทคเลนส์ที่ได้รับการอนุญาติจาก อย. แล้ว

          พร้อมกันนี้ผู้ป่วยรายหนึ่ง ก็ได้ระบุว่า ที่ตนใส่บิ๊กอายเนื่องจากตนเป็นคนสายตาสั้น เมื่อสวมแว่นแล้วไม่มั่นใจและรู้สึกเกะกะ จึงอยากเพิ่มความมั่นใจและเพิ่มความสวยด้วยการใส่บิ๊กอาย จึงตัดสินใจสั่งซื้อคอนแทคเลนส์ดังกล่าวที่อินเทอร์เน็ตชนิดรายปี ซึ่งตนจะบอกระยะสายตา แล้วเลือกแบบ จากนั้นไม่นาน คอนแทคเลนส์ดังกล่าวก็จัดส่งถึงบ้าน  ทั้งนี้ตนเปลี่ยนคอนแทคเลนส์เป็นคู่ที่สอง หลังจากใส่ได้ประมาณ 2 - 3 เดือน ตนก็รู้สึกปวดตา และระคายเคือง แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงถอดก่อนนอนและใส่ในวันรุ่งขึ้นตามปกติ  แต่ปรากฎว่าเมื่อตนใส่แล้วไม่สามารถสู้แสงได้ แสบตา ตาแดง และน้ำตาไหลตลอดเวลา ส่วนอีกรายเป็นผู้ป่วยอาย 14 กล่าวว่า ซื้อบิ๊กอายจากแผงลอยย่านสะพานพุทธ ใช้ได้ประมาณ 3-4 เดือน จากนั้นตนก็รู้สึกแสบตา และรู้สึกเหมือนมีอะไรสีขาวขุ่น ๆ ติดอยู่ในตาตลอดเวลา

ระวังกันด้วยนะจ้ะ ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่นะคะ



วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ศัลยกรรมความงาม แล้ว เสียโฉม.


สาวๆ ที่อยากทำศัลยกรรมความงาม อ่านบทความนี้ก่อนตัดสินใจ
ระวัง!!! จะเสียทั้งเงิน เสียทั้งกำลังใจ
1. Hang MioKu ฉีดน้ำมันพืชเข้าใบหน้า
    
Hanh หญิงชาวเกาหลีใต้ อายุ 48 ปี เริ่มทำศัลยกรรมพลาสติค ตั้งแต่อายุ 28 ปี แต่ไม่ถูกใจ เธอจึงกลายเป็นคนเสพย์ติดการผ่าตัด เข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่น ไม่ถูกใจก็ผ่าใหม่ แต่ทำให้ใบหน้าเธอกว้างและใหญ่จนผิดรูปผิดร่าง

ต่อมา เธอประชดชีวิตด้วยการฉีดน้ำมันพืชเข้าใบหน้า ทำให้ใบหน้าของเธอใหญ่ จนคนทั่วไปให้ฉายาว่า "standing fan" พัดลมตั้งโต๊ะ ข่าวเรื่องของ Hang กระจายไปจนทีวีเกาหลีมาขอสัมภาษณ์ และเรี่ยไรเงินช่วยเหลือเธอ ภาพที่เห็นคือศัลยกรรมล่าสุดที่ช่วยได้เต็มที่แล้ว
2,Jocelyn Wildenstein อสุรกาย 4 ล้านดอลล่าร์


ในปลายปี 70 ภาพล่างขวา Jocelyn ยังเป็นสาวสวย คุณแม่ลูกสอง แต่งงานกับนักธุรกิจด้านศิลปะ ตราบจนกระทั่งเธอจับได้ว่าสามีมีกิ๊กกับนางแบบสาวชาวรัสเซีย ถ้าเป็นสาวอื่นก็แค่เลิกกับสามี เอาเงินไปหาความสุขที่อื่น แต่ไม่ใช่ Jocelyn เธอพยายามเอาชนะใจสามีด้วยการทำศัลยกรรมพลาสติค แต่ก็ไม่สำเร็จ สามีทิ้งไป แต่ Jocelyn กลับหลงรักศัลยกรรมพลาสติคแทน ผ่าจนกลายเป็นอสุรกาย ประชดชีวิตหรือเปล่านี่!

3. Michael jackson

โชคดีที่เสียชีวิตไปแล้ว Michael Jackson ไม่เคยพอใจกับใบหน้าของตนเองเลย ข่าวว่าเขาต้องผ่าตัดจมูกถึง 10 ครั้ง จึงมีจมูกเหมือนรูปซ้าย
4. Pete Burns

Pete นักร้องที่มีชื่อเสียงของอังกฤษไม่พอใจในเพศตนเอง และอยากผ่าตัดเปลี่ยนรูปทรงของปากให้อวบอิ่ม เย้ายวน เขาฉีดสาร polyacylamide เข้าไปในริมฝีปาก ฉีดแก้ม ผ่าตัดจมูก ผลออกมาแบบรูปซ้าย ทำให้เขาต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดที่สะสมมาตลอด 18 เดือน เพื่อแก้ไขการผ่าตัดที่ผิดพลาด เฮ้อ!... ทำไปได้
5. Dennis Auner : The Catman

เขาผ่าตัดศัลยกรรม เพื่อให้เหมือนสัตว์ที่เขานับถือ คือ เสือ การเปลี่ยนแปลง ต้องใช้วิธีสักตามผิวหนัง การปลูกถ่ายผิวหนังบริเวณโหนกแก้ม และการตะไบฟัน เพื่อให้เหมือนเสือจริง
น่าจะไปอยู่ป่ากับพวกเพื่อนเสือด้วยกันเนอะ
6. Eric Spragua มนุษย์จิ้งจก

ชายอายุ 32 ปีผู้นี้ ใช้เวลา 700 ชั่วโมงในการสักตามตัวให้เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ทำปุ่มใต้คิ้ว เลื่อยฟันให้แหลม ทำลิ้นให้เป็นสองแฉก ทำจมูกและใบหู จะเอาไว้โชว์งานวัดไหนกัน..พ่อคู๊น
7. Donatella Versace

เมื่อได้กิจการจากน้องชาย Gianni Versace เธอก็ผลาญเงินด้วยการทำศัลยกรรมจมูก แต่กลับดูไม่เป็นผู้เป็นคน แทนที่จมูกจะเล็กลง กลับกว้างขึ้นและหักงุ้มลง รูปขวามือแสดงให้เห็นผลของการศัลยกรรมหลายอย่างบนตัวเธอ ด้วยอายุ 53 ปี การใส่ชุดว่ายน้ำที่แสดงให้เห็นความเหี่ยวย่นของผิวบริเวณร่างกาย แต่ใบหน้า และหน้าอกยังตึงเปรี๊ยะ ดูเหมือนตัวการ์ตูน
8. Jackie Stallone

งานดึงหน้า ดึงคิ้ว ฉีดแก้ม เปลี่ยนรูปทรงของจมูก ปาก แม่ดาราชื่อดัง พ่อบึ๊ก Silvester Stallone เป็นโรคประสาทอ่อนๆ เพราะคุยโวว่ามีความสามารถพูดคุยกับสุนัขได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต เธอยังริก่อตั้งสายด่วน hotline รับเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาและเรียกเก็บเงินปลายทาง งานนี้ คุณยาย เอาตัวให้รอดเสียก่อนจะดีกว้ามั้งคะ
9. Amanda Lepore

เวรกรรมแท้ๆ เจอแต่ละใบหน้าแล้วสงสารจริงๆ ครั้งหนึ่ง เธอคือเด็กชายที่ยากจน แต่ลงทุนผ่าตัดศัลยกรรมตั้งแต่อายุ 15 แล้วก็ผ่าตัดนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในการผ่าตัดแปลงเพศ แล้วก็ผ่าตัดเรื่อยมา จนเป็นแบบนี้ ดูแล้วเหมือนผู้หญิงมั๊ยเนี่ย
10. Michaela Romanini

สาวไฮโซ ชาวอิตาลี ฉีดสาร collagen ที่ริมฝีปาก เมื่ออายุ 40 ปี แล้วเกิดผิดพลาด ปากเจ่อ บวมเป่ง แล้วเธอก็ผ่าตัดต่อไปเรื่อยๆ เพื่อแก้ไข ปัจจุบันได้แค่นี้เอ

ผู้หญิงที่โหดที่สุดในโลก "เอลิซาเบธ บาโธรี่"


สำหรับ เอลิซาเบธ บาโธรี่ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเธอ เธอปรากฏในการ์ตูนหลายเรื่องมาก และเป็นผู้เชื่อมคีย์เวิร์ดคำว่า"เลือด" เข้ากับ "ความงาม" ส่วนพฤติกรรมนั้นโหดเหี้ยมไม่ต่างพวกผีดูดเลือดทั้งหลาย จนเธอได้รับฉายาว่าเคานท์สาวกระหายเลือด และได้บันทึกเป็นสถิตว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าเหยื่อมากที่สุดในโลกจนยากที่ไม่มีใครจะกล้าทำลายสถิตของเธอ
สถิตคือเธอฆ่าสาวพรหมจารีไปแล้วกว่า 605 ศพ!

 ประวัติ
เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ (Countess Elizabeth Báthory) เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น
อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (54 ปี) ในเมือง Čachtice ประเทศสโลวาเกีย

เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden)แล้ว อาบต่างน้ำ โดยมีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula
เอลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย
ความจริงแล้ว เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำแต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล จนจักรพรรดิมาร์คมิชิเลียนที่ 2 เคยมาขอดูตัวด้วยซ้ำ เอลิซาเบธจึงมีทั้งความสวยทั้งหน้าตา รูปร่าง(เธอคิดเอาเอง) และชาติตระกูลสูงส่ง แต่มันเหมือนนรกจับยัดมาเกิด เพราะเธอกลับมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง
เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ ก็เช่นเดียวกัน
นิสัยเพี้ยนของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ อยู่นั่นแหละ เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้ แต่เธอกลับใฝ่ต่ำ ทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาสติดที่ดิน เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13
ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใคร รู้เด็ดขาดเลยว่าเจ้าสาวเคยมีลูกกับพวกไพร่ แต่ใครไม่รู้ว่า ทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด
เมื่อเธอโตขึ้น เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หาย จนกระทั่ง.........

มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา สาวใช้ร้องลั่น เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง น่าแปลกที่อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ
ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี (หลังจากแต่งงานแล้ว เอลิซาเบธ ก็ยังคงใช้ชื่อตระกูลเดิม) ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ ปราสาทกว้างใหญ่แต่มืดทะมึนดูน่าสยดสยองกลางป่าลึกบนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส นายหญิงแห่งอาณาจักรอันไพศาล
ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีมากนัก ออกจะจิตวิตถารเช่นเดียวกับอลิซาเบธเสียด้วยซ้ำ สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ซึ่งเคาน์ฟีเรนซ์ มักจะเล่าให้อลิซาเบธฟังถึงการที่เขาเคยทรมานทรกรรมเชลยชาวเติร์กอย่างโหด เหี้ยม และอลิซาเบธเองก็สนองคิดค้นหาวิธีสยดสยองต่างๆนาๆมาทดลองใช้กับคนของตัวบ้าง
ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกันถึง 4 คน
แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด
แต่นี่ก็ยังไม่นับเป็นการเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเลยด้วยซ้ำ
เอลิซาเบธ เริ่มหางานอดิเรกใหม่มาทดแทนชีวิตอันน่าเบื่อ ซึ่งก็คือมนต์ดำที่คนรับใช้เป็นผู้แนะนำนั่นเอง เธอมักจะลงไปหมกตัวอยู่ในห้องใต้ดินและประกอบพิธีกรรมประหลาดกับคนรับใช้ บ่อยครั้ง และในไม่ช้าเอลิซาเบธ ก็เริ่มมีชู้ ฟีเรนซ์รับรู้เรื่องนี้แต่ใจกว้างพอที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากไม่นานนักแม่ของฟีเรนซ์ก็ย้ายมาอยู่ด้วย จึงเป็นการเปิดสงครามเย็นระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้ในที่สุด
เอลิซาเบธมักประพฤติตัวเป็นภรรยาผู้เรียบร้อยต่อหน้าสามี แต่พอลับหลัง เธอก็ทำกระทั่งการจับสาวใช้ของแม่สามีมาทรมานจนตาย
จะอย่างไรก็ตาม เอลิซาเบธมีลูก 4 คน จึงทำให้สภาพครอบครัวยังไม่ถึงกับพังทลายลงในทีเดียว ชีวิตฆาตกรของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากการตายของสามีเสียมากกว่า
ปี 1600 ในฤดูหนาว เอลิซาเบธอายุได้ 40 ปี ฟีเรนซ์สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา และแทบจะในวันเดียวกันนั้นเอง แม่ก็จากโลกนี้ตามลูกชายไปอีกคน มีข่าวลือภายหลังว่าเป็นการวางยาพิษ
ทีนี้ก็ไม่มีใครจะมาขวางทางเอลิซาเบธได้อีก เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ ชีวิตประชาชนก็เหมือนกับลูกไก่ในกำมือ จะบีบจะคลายก็ขึ้นอยู่กับใจเธออย่างเดียว จะมีก็แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการความสวย ความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล
มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก
จนกระทั่ง.........
เช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอก็ต้องชะงักเพ่งมองแล้วมองอีก นี่ความชราย่างกรายเข้ามาทำร้ายตัวเธอแล้วหรือจริงซินะ.....เธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้วนี่นา เอลิซาเบธใจหายวาบถึงจะไม่สวยแต่เธอก็ไม่อยากแก่และกลัวอย่างที่สุด เธอรู้สึกเหมือนความแก่เฒ่านั้นมันมีตัวตน เอาปากครีมมาหนีบดึงถึ้งเนื้อที่เต่งตึงผุดผ่องของเธอทีละชิ้นๆ เมื่อเธอหงุดหงิด ขัดข้องก็ยิ่งต้องหาเรื่องระบายอารมณ์และความบันเทิงใดเล่า จะเท่ากับการลากคนมาทรมาน
ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ คงเพราะเกร็งไปหน่อยจึงออกแรงมากไป ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ แล้วลงมือหวดแซ่หนังผูกปมโลหะใส่เนื้อหนังมังสาของทาสชะตาขาดนั้นอย่างเมา มัน ความรุนแรงของเธอทำเอาแซ้ตวัดเกี่ยวหนังของผู้เคราะห์ร้ายหลุดกระเต็นออกมา เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หยาดเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอยมาติดตามตัวของเธอ การโบยหฤโหดจบลงพร้อมๆ กับชีวิตของทาสที่เละเป็นหมูบะช่อแต่ทว่าเรื่องที่ร้ายที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้นเคาน์เตส หอบเหนื่อยเกือบหมดแรงแต่ก็สนุกสมใจไม่น้อยเลย
ความอัจฉริยะบังเกิดขึ้นอีกแล้ว เอลิซาเบธตาวาวโรจน์เปี่ยมสุขขึ้นมาทันใด คราวนี้เธอค้นพบสูตรใหม่แห่งยาอายุวัฒนะ เธอนั่งลงเห็นและเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า และแล้วความโหดเหี้ยมแปรเปลี่ยนเป็นความพิศวง เมื่อเคาน์เตสพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราว สาวแรกรุ่นอ่อนนุ่ม ละมุนละไม ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะบันดาลให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่นซินะ มันถึงจะได้ฤทธิ์ของน้ำแห้งชีวิตอย่างเต็มที่
และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น
เหยื่อของเอริซาเบทส่วนใหญ่จะเป็นคนเลือกเหยื่อด้วยตนเองเธอต้องการเลือดของ เด็กสาวบริสุทธิ์ โดยเฉพาะสาวแรกรุ่นที่แสนสวยมีอกอวบอิ่ม
เธอสั่งให้เชือดและชำแหละเพื่อรีดเลือดทุกหยดออกมาให้ได้มากที่สุด เด็กหญิงคนแล้วคนเล่าต้องตายอย่างทุกทรมาน บางคนถูกกรีดร่างจนเป็นริ้วลึกถึงกระดูก ตัดเส้นเลือดทุกเส้นในร่างที่งดงาม หลายคนถูกแหวะอก ผ่าท้องกรีดหัวใจเลือดพุ่งไหลเป็นสายน้ำ แล้วให้เธออาบร่างนั้นอย่างมีความสุข
เมื่อลูกทาสของคนรับใช้และทาสในที่ดินตายหมดแล้ว เอริซาเบทก็ให้ลูกน้องบริวารไปล่อลวงหลอกเอาสาวชาวบ้านตามชนบทเข้ามา
เอลิซาเบทเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจนต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวออกมาทำงานในปราสาทเพียงเพื่อแลก กับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามาด้วยใบหน้าร่าเริงราวกับจะไปปิกนิค แต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้ พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูกฝังไว้ในสวนหลังปราสาทโดยที่พ่อ แม่พี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะทราบข่าวถึง
วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ ยิ่งยกระดับเสียยิ่งกว่าเก่า มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง
มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย และทหารก็กรูกันเข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม
ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธออยู่ดี เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมา ใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ
อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden นั่นเอง ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้
"ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"
อย่างไรก็ตาม เครื่องทรมานดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมากเท่าที่เข้าใจกัน เนื่องจากเข็มพากันทื่อเสียหมดเพราะเป็นสนิมจากเลือด เอลิซาเบธ จึงออกคำสั่งใหม่ให้สร้างกรงเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งมีเข็มแหลมอยู่ภายใน กรงดังกล่าวจะถูกเฟืองโซ่ยกขึ้นสูงจากพื้นโดยมีเด็กสาวอยู่ข้างใน และเมื่อเขย่ากรง เลือดก็จะกระจายลงมาสู่เอลิซาเบธ ที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นฝนเลือด
จนเวลาผ่านไปเกือบห้าปี ลูกสาวชาวไร่ชาวนาหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น ความผิดพลาดเอลิซาเบธเกิดขึ้นเมื่อเธอไปเที่ยวที่เมืองวีน เหตุการณ์สยองจึงเริ่มเกิดต่อสาธารณชนรับรู้ครั้งแรก เมื่อมีผู้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังออกจากห้องพักของเอลิซาเบธ
เอลิซาเบทหันไปหาพวกธิดาของพวกผู้ดีมีตระกูล บางรายเป็นลูกของเพื่อนๆผู้สูงศักดิ์ของเธอด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้บ่าวไพร่หมดปัญญาจะเอาศพไปทิ้งไม่ให้ใครเห็นเพราะมีเหยื่อมากมาย ก่ายกองจนต้องโยนออกมาในตอนกลางคืนเพื่อให้ฝูงหมาป่ารุมกินเป็นความเอร็ด อร่อยยามดึก แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อฝูงหมาป่าก็กินไม่หมด คราวนี้ละพวกญาติๆที่มาตามหาสาวน้อยของพวกเขาก็ได้เห็นภาพอันสยองขวัญ ตอนแรกมีชาวบ้านมาพบกองซากศพที่ซีดเผือกไม่มีเลือดอยู่เหลือเลยแม้แต่หยด เดียว เลยเกิดล่ำลือไปว่าในป่านี้มีผีดิบดูดเลือดอยู่
คนเลี้ยงสัตว์ของเอลิซาเบธจึงรีบไปตรวจดูและพบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของ นัก ร้องสาวของสมาคมแห่งหนึ่งในเมืองนั้น ภาพที่เห็น หญิงสาวถูกตัดมือ ตัดเท้า และเสียชีวิต ตายตรงหน้าเอลิซาเบธ เธอบอกกับคนเลี้ยงสัตว์ของเธอว่า นักร้องผู้นี้ทำความผิด จึงมีโทษต้องตาย และนี่คือความผิดพลาดของเอลิซาเบธเพราะคนเลี้ยงสัตว์คนนี้ก็ปากเปราะเสีย ด้วยสิ
ว่าแล้วกิตติศัพท์นี้ย่อมต้องกลายเป็นที่เลื่องลือในไม่ช้า ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอ ลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ
และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง .....เดือน ธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง มีเด็กสาวบางคนถูกช่วยออกมาได้ แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะพวกเขาพบเธอในขณะที่นอนหายใจรวยรินยังไม่ เสียชีวิต เธอเล่าว่าเธอถูกจับมาพร้อมเพื่อนสาวอีกเป็นจำนวนมากโดยมีสาวใช้สองคนของเอ ลิซาเบธคือ นางดอลค์และนางรีโอน่า เป็นคนสังหารนำเลือดมาให้ผู้เป็นนายชโลมผิว เพราะเชื่อว่าเลือดคือยาอายุวัฒนะ แต่ก็ยากที่บอกว่าพวกเธอปลอดภัยดี เพราะหลายคนถูกบังคับให้กินเนื้อจากศพของเด็กสาวคนอื่น จนบางคนกลายเป็นคนวิกลจริตด้วยซ้ำ เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 อย่าว่าแต่พวกชาวไร่ชาวนาเลย บรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้นางฟ้าหรือผีห่าซาตานตนนี้พ้นผิดไปได้แล้ว ลูกมือของเคาน์เตสเปิดปากสารภาพเล่าวิธีการ และบอกถึงรายนามเหยื่อเท่าที่พวกเขาจำได้เฉพาะที่จำได้ก็ปาเข้าไปตั้ง 160 ศพ เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่ เอลิซาเบธได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง และเนื่องจากฎีกาของตระกูลบาโธรี่ เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูก ตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน
หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะ เธอ ถูกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซ ของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกรุนเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงชองเล็กนิดเดียวที่พอจะสอดอาหารและน้ำส่งให้เธอได้ ลองโดนขังไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันขนาดนี้ เป็นคนอื่นล่ะตายไปนานแล้วแต่บาปหนาของเธอทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่รู้รสความ ทรมานที่แสนสาหัสนานถึง 4 ปี
การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชิวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก

21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง แต่มีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี่ ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซ บนภูเขาคาร์ลปาเชีย ในสโลวาเกีย ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผิวขาว เนียนแบบ ธรรมชาติ


เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น


วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีเคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้นมาฝากสาวๆ ที่อยากจะมีผิวขาวกันค่ะ สำหรับ เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น นี้แม้ไม่ต้องถึงกลูต้าไธโอนก็ช่วยให้สาวๆ สวยได้ค่ะ และที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำ เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น นี้มาฝากกันด้วย 12 เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สาวๆ ได้มีผิวขาวสวยแบบธรรมชาติที่สำคัญ เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น นี้ยังประหยัดงบของคุณสาวๆ ลงไปได้อีกเยอะเลยด้วยแหละ มาบอกลาผิวหมองคล้ำด้วย 12 เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่าค่ะ ปฎิบัติเคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้นกันอย่างเคร่งครัดรับรองว่าความขาวไม่หนีไปจากผิวสวยของคุณสาวๆ อย่างแน่นอนค่ะ


12 เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น

1. การขัดผิว

เป็นวิธีทําให้ผิวขาวที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาดหรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่ายๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิวเพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่ายๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไปแล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้

มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมาเป็นวิธีทําให้ผิวขาวเผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดดเพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม


3. น้ำนมเพื่อผิวขาว

ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตามวิธีทําให้ผิวขาวได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อยๆ ขาวขึ้น

4. ผลไม้รสเปรี้ยว

ช่วยในการขัดขี้ไคลเป็นวิธีทําให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใสและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบางไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูงควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้ายๆ กันก็ได้

5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว

ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็นและทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบางๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดดหรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาวๆ คนไหนอยู่ติดบ้านไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลยใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียวทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

6. ครีมกันแดด

ควรเป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่าครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาดๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมากจึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง


เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น


7. ทานอาหารให้เหมาะสม

โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อเพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้วหน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมาซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิวทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย

วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้น จึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาวนี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อมๆ กัน

10. การอบไอน้ำผิวหน้า

เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้งช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้งวิธีทําให้ผิวขาวและช่วยขจัดสิวไปพร้อมๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่ายๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขนและไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

11. เมคอัพช่วยได้

ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้มก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

12. สารพัดสูตรพอกหน้า

นอกจากการขัดผิวแล้วสาวๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้ารวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมายที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เคล็ด(ไม่)ลับ การทำหน้าใส ด้วยวิธีแสนง่าย แบบธรรมชาติ


หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

วิธีการบำรุงหน้าให้สวยใส อมชมพู ด้วยแอปเปิ้ล
นำแอปเปิ้ลปอกเปลือก แล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นล้างหน้าตามปกติ จากนั้นเรานำเนื้อแอปปิ้ลที่ปั่นละเอียดที่ได้ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ
ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ยังเป็นการช่วยบำรุงความชุ่มชื่่นให้ใบหน้าคุณผู้หญิงดูสดใสเปล่งปลั่งด้วย


ลองนำไปใช้ดูได้ วิธีง่ายๆ แค่นี้หน้าก็สวยใส อมชมพูแล้ว

หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
- เมื่อรู้สึกตัวว่ามีผิวหน้าอ่อนโรยหน้าไม่ใสอยากให้กลับมาดูสดชื่นหน้า ใส ปิ๊งๆ ก็ให้นำเอาเนื้อแอปเปิ้ลสดๆบดหรือปั่นให้ละเอียดแล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้า และผิวหนังบริเวณลำคอ ทำเป็นประจำอาจจะอิาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15-20นาที หรือทำจนกว่ารู้สึกว่าผิวหน้าใสและสดชื่นขึ้น

- สำหรับสาวผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวแต่อย่างใดแต่อยากให้หน้าใสสด ชื่น ก็ให้นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกก่อนจากนั้นก็นำมาบดแล้วปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ( หาซื้อทั่วไป) ประมาน 1 ช้อนชา ตามด้วยแป้งข้าวโพดอีก 1 ช้อนชา แล้วทาลงให้ทั่วใบหน้าเว้นขอบตา ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงแค่นี้ก็ได้บำรุงให้หน้าใส

- สำหรับสาวผู้มีผิวพรรณร่วงโรยตามกาลเวลาหรือก่อนเวลาอันควร แล้วอยากรีบบำรุงให้กลับมาเป็นสาวหน้าใสเหมือนเดิมก็ให้ พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล อบ หรือเอาแอปเปิ้ลไปต้มแล้วบดให้ละเอียดนำไปผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้งหนึ่ง ช้องชา เพื่อทำให้ผิวยึดหยุ่นและชะลอกระบวนการร่วงโรยของผิว

- สำหรับสาวเป็นสิวหรือมีรอยแผลเป็นจากสิวแล้วอยากกลับมาเป็นสาวหน้า ใสเหมือน เดิมก็ให้นำแอปเปิ้ลสีเขียวมาบดผสมกับน้ำผึ้งแท้ๆ ประมาน 1 ช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า อาจจะทาพอกเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็น ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออก

อยากสาวใส ต้องดูแลกันหน่อย นะจ๊ะ

ขอขอบคุณ: yopi.co.th, เดลินิวส์ รูปภาพ: pantip.com

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


หน้าขาวใส อมชมพู สูตรโบราณ


หน้าขาวใส อมชมพู สูตรโบราณ ด้วยขิง
ทราบไหมว่า ขิงแก่ นี่แหละที่สามารถทำให้ผิว
หน้าของเราใสอมชมพูได้ นำขิงแก่มาฝานบางๆ
ตามความยาว นำขิงมาวางไว้ตรงบริเวณที่เรา
ต้องการให้หน้ามีสีชมพู ทิ้งไว้ 2 นาที ผิวจะรู้
สึกร้อนๆ ตึงๆ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น จะ
ช่วยกระชับรูขุมขนด้วยค่ะ


ขอขอบคุณ phyathai.com

หน้าขาวใส ด้วยธรรมชาติ สูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ



หน้าขาวใส ด้วยธรรมชาติ สูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ

วิธี การ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง
วิธี การ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล
วิธี การ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง
วิธี การ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยแตงโม
วิธี การ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว
วิธี การ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยไข่ขาว
วิธี การ : ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น